แผลเป็น คือสิ่งหนึ่งที่มักสร้างความรู้สึกไม่มั่นใจให้กับใครหลายๆ คน ยิ่งหากเกิดขึ้นในบริเวณที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งทำให้เสียเซลฟ์ไปกันใหญ่ แต่ไม่ว่าใครๆ ก็อาจเกิดแผลเป็นจากอุบัติเหตุทั้งเล็กใหญ่ ได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นแผลถลอกจากการหกล้ม โดนมีดบาดจากการทำอาหาร เฉี่ยวชนมุมขอบโต๊ะ รวมไปถึงแผลเป็นจากความร้อนที่ทำให้เกิดรอยแดง หรือแผลผ่าตัด ที่ใช้เวลาในการรักษายาวนาน เป็นต้น
3 แผลเป็นยอดฮิตเจ้าปัญหา
รอยแผลเป็นส่วนใหญ่ที่เรามักจะเจอบ่อยๆ เรียกว่าเป็นแผลเป็นยอดฮิตเลยมี 3 ชนิด นั้นก็คือ
แผลเป็นแบบนูนเกิน หรือ Hypertrophic Scar แผลลักษณะนี้จะโตนูน แต่ไม่ขยายวงกว้างไปจากเดิม ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดอาการแดง คัน แผลเป็นลักษณะนี้จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากแผลหายทิ้งร่องรอยกว่าจะหายยุบไป โดยประมาณ 12-24 เดือน
แผลเป็นแบบคีลอยด์ หรือ Keloid Scar เป็นแผลโตนูนที่สามารถขยายวงกว้างได้ สังเกตสีของแผลจะเข้มกว่าปกติ เป็นสีแดง น้ำตาล ดำ แผลคีลอยด์จะเกิดขึ้นหลังจากเกิดแผลประมาณ 3 เดือนเป็นต้นไป และสามารถยุบหายเองได้
แผลแบบลึกบุ๋ม หรือ แผลเป็นแบบหลุม ที่เรียกกันว่า Depressed Scar มีลักษณะเป็นร่องบุ๋ม หรือหลุมลึกลงไปใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่มักเกิดจาก หลุมสิว หลังจากที่เป็นสิวอักเสบเป็นหลัก รวมไปถึงการบีบสิว รอบบาดเล็กๆ รวมไปจนถึงแผลผ่าตัดบางชนิด
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับแผลเป็น มักจะเป็นห่วง และกังวลเกี่ยวกับ 3 สิ่งเหล่าที่ตามมาเหล่านี้ เมื่อ นั้นคือ
- รอยแผลต้อง “จางลง”
- รอยแผลต้องดู “สม่ำเสมอ”
- บริเวณผิวต้อง “เรียบเนียน”
และทั้ง 3 สิ่งนี้ สามารถเป็นจริงได้ หากเราดูแลรักษาแผลเป็นได้อย่างถูกวิธี พร้อมทั้งเลือกใช้ตัวช่วยที่ตอบโจทย์ซึ่งมีส่วนผสมที่สำคัญในการรักษาแผลเป็น ได้อย่างดี และเข้าตรงจุด
3 สเต็ปรักษาแผลเป็นให้อยู่หมัด
ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือ ทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่อ่อนๆ ที่สำคัญ ต้องล้างสบู่ออกให้หมดเมื่อทำความสะอาด เพื่อป้องกันการระคายเคือง และอย่าเผลอล้างทำความสะอาดแผลด้วยแอลกอฮอล์เด็ดขาด เพราะอาจทำให้ระคายเคือง และทำลายเนื้อเยื่อบริเวณแผล ส่งผลให้แผลหายช้าและเกิดร่องรอยของแผลเป็นขึ้นในที่สุด ดังนั้น อยู่ให้ห่างแอลกอฮอล์ และ เลือกใช้น้ำเกลือล้างแผล หรือ ล้างด้วยสบู่อ่อนๆ จะดีที่สุด
อย่าแงะ แกะ เกา หรือสัมผัสบริเวณแผลที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะนอกจะทำให้แผลของคุณไม่สมานกัน และหายช้าแล้ว ยังอาจเป็นการเปิดแผลนั้นกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วย แถมยังอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่มากับมือและเล็บในขณะที่แกะเกา เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่จะตามมา ดังนั้น อดทนสักนิด ถ้ารู้สึกคัน หรือระคายเคือง ก็พยายามอย่าสัมผัส เพื่อผิวที่จะกลับมาเรียบเนียนสวยในอนาคต
ทาครีม หรือ เจล เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว เพราะความชุ่มชื้น เป็นตัวหลักสำคัญที่จะทำให้รอยแผลเป็นกลับมาสมานกันดังเดิม พร้อมทั้งทำให้ผิวดูเรียบเนียน ลดร่องรอยของแผลที่เกิดขึ้น ดังนั้น การเลือกครีม หรือ เจลที่มีคุณสมบัติ และส่วนผสมที่ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น อุ้มน้ำ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการรักษาแผลเป็น
แล้วส่วนผสมอะไรที่คุณไม่ควรมองข้ามเมื่อต้องการรักษาเจ้าแผลเป็นให้หายขาดและตรงจุด ไปดูกัน
3 ส่วนผสมสำคัญช่วยดูแลแผลเป็นอย่างตรงจุด
เด็กซ์แพนทีนอล (Dexpanthenol)หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อ โปรวิตามินบี 5 (Provitamin B5) มีคุณสมบัติสร้างความชุ่มชื้น รักษาความยืดหยุ่นของผิว มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของเนื้อเยื่อบุผิว กระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิว ทำให้แผลสมานกันได้ดี และ ยังช่วยลดอาการคัน ป้องกันการระคายเคืองอีกด้วย
อัลลันโทอิน (Allantoin)ช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยให้ผิวอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนสุขภาพดี ผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิว ลดการระคายเคือง เพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว และมีคุณสมบัติต้านสารอนุมูลอิสระอีกด้วย
กลีเซอรีน และ กรีเซอรีล กลูโคไซด์ (Glycerine & Glyceryl Glucoside)เป็นสารที่ค้นพบได้ตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติดูดน้ำให้ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น ชุ่มชื้น พร้อมทั้งกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ดีอีกด้วย
ซึ่งส่วนผสมทั้ง 3 ชนิดนี้ ถือเป็นคีย์หลักสำคัญที่จะทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นขึ้น อุ้มน้ำ และยืดหยุ่นได้ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้รอยแผลเป็นดูจางลง และเลือนหายไปในที่สุด
ดังนั้นการดูแลรักษา ป้องกัน และเลือกใช้ตัวช่วยที่มีส่วนผสมที่ดี จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อต้องการจะโบกมือลาแผลเป็นที่น่ารำคาญใจให้หมดไป พร้อมเปิดรับผิวสวย เรียบเนียนให้กลับมาเหมือนเดิม
ใช้สำหรับแผลเป็นชนิก Immature หรือ แผลเป็นที่เกิดในช่วงแรก โดยทำให้แผลเป็นนุ่มขึ้น และ ป้องกันการเกิดแผลเป็น ในแผลเป็นใหม่เท่านั้น